วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ทาง...

13:49 น. ฝนเม็ดเป้งพากันพุ่งฉิวลงมาบนกระจกหน้าของคุณติส สีน้ำเงินที่กำลังแล่นออกจากจุดสตาร์ท
อันเป็นปัมพ์น้ำมันตราดาวที่เรารู้จักกันดี ท้องฟ้าที่ดูดีสีสวยเมื่อสักชั่วโมงที่ผ่านมาโบกมือบ๊ายบายบอกลากันไป
อย่างไม่แยแสหลีกทางให้เมฆอ้วนๆ ดำๆ ลอยอืดยึดพื้นที่น่านฟ้าแทบนนทบุรีไปหมด และนี่เป็นการเริ่มต้นของการเดินทาง
ที่ดูจะชื้นๆ เย็นๆ ครึ้มๆ ผิดจากที่คาดเอาไว้แต่แรก...แต่จะทำไงได้...
เมฆฝนไม่ใช่พรรคก.ม.นี่ ถึงจะสั่งให้ยุบให้ยืดให้ย้วยกันได้
จริงแมะ...
ย้อนกลับไปสักอาทิตย์กว่าๆ เมื่อตอนต้นเดือนเมษาฯ ซึ่งเป็นเทศกาลของงานสัปดาห์หนังสือฯ หลังจากเอาหน้าของตัวเองทิ่มอยู่กับ
จอมอนิเดอร์มา 36 ช.ม.ติดต่อกัน รวบรัดตัดตอนส่งงานที่ได้รับปากไว้เสร็จสิ้นไปแล้ว ก็หอบหน้ามอมๆ โทรมๆ ของตัวเองไปยืนเจ๋อเซ่อซ่า
อยู่ที่งานฯ พร้อมกับความตั้งใจว่า วันนี้จะต้องแฮพเอาหนังสือเล่มหนึ่งพร้อมกับลายเซ็นต์กลับไปให้จงได้...และมันก็อยู่ในมือแล้วในตอนนี้
14:33น. ฝนยังคงเทลงมาอย่างไม่ขาดสาย คุณติส เคลื่อนที่ช้าๆ ไปบนเส้นทางสายวิภาวดีขาออกมุ่งหน้าไปยังทางหลวงหมายเลข 2
ที่หนาทึบไปด้วยเม็ดฝนจนมองทางข้างหน้าแทบไม่เห็น ในสภาพอากาศแบบนี้ยังจะมีอะไรให้ทำที่เหมาะมากไปกว่าหันไปที่เบาะหลังแล้วคว้าเอา "ฝันที่แยกราชประสงค์" พร้อมกับลายเซ็นต์นักเขียนเล่มนั้นขึ้นมาเปิดอ่าน

เปล่า! นี่ไม่ใช่การอ่านฆ่าเวลา แต่เพราะนี่เป็นบรรยากาศที่วิเศษที่สุด ลองจินตนาการดูสิ...พื้นที่ในรถที่มีความจุไม่มาก เหมือน space เล็กๆ ที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยม่านฝนหนาซึ่งตัดเราออกจากโลกภายนอก ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อากาศเย็นๆ ฉวยหมอนผ้าห่มผืนเล็กออกมาคลี่คลุมตัวไว้ เอนเบาะลง แล้วก็แค่เปิดหนังสือที่คุณอยากอ่านขึ้นมา....หากใครที่คิดอยากมีช่วงเวลาอย่างนั้นบ้างในเวลาต้องเดินทางไกลในช่วงมรสุม มีเพียงข้อเดียวที่อยากแนะนำ...คุณต้องหนีบ driver ประจำตัวไปด้วย เท่านั้นเอง ส่วนข้อควรระวังก็คือ...อย่าอ่านเพลินจนลืมเงยหน้าขึ้นมาให้กำลังใจจ๊ะจ๋ากับ driver คนดีของคุณบ้าง ม่ายงั้นอาจมีงอนนนน...

15:59น. เราขับผ่านกลุ่มฝนหนาที่สระบุรีจนมาถึงน่านฟ้าที่ฝนซาของโคราช พร้อมกับความหิว...โดยปกติแล้ว เราจะแวะที่เขื่อนลำตะคอง แต่ครั้งนี้ไม่...สมองซีกไหนก็ไม่รู้ล่ะที่มันสั่งว่า ขอกาแฟสดสักแก้วเถอะ...เพราะไอ้ที่ตุนมาจาก 94 coffee จากนนท์มันหนีไปอยู่ในปัมพ์ที่พึ่งแวะมาตะกี๊หมดแล้ว
คาเฟอีน...กำลังครอบงำผู้คน...คุณว่ามั้ย

หลายคนมักหงุดหงิดเวลาที่ฝนตกและรถติด โดยเฉพาะเมื่อมันมาเกิดขึ้นในเวลาที่กำลังจะไปเที่ยว
แน่ล่ะ...ใครๆ ก็อยากได้วันฟ้าใส...แต่เมื่อไม่อาจโทร 1112 สั่งวันที่ว่ามาถึงได้ภายใน 30นาทีแค่นั้น จะหัวเสียไปทำไม
ทุกวันนี้เรื่องที่ชวนให้หัวเสียมันมีมากเกินพออยู่แล้ว...ทำชีวิตให้มันง่ายกว่านั้นดีกว่า
ฝนตก...แล้วไง...ก็ดีสิ ไม่มีแดด เย็นสบาย รถติด...แล้วไง...ก็ขับเร็วไม่ได้ ปลอดภัยดีออก
ทางเส้นเดิมที่เคยสัญจรในวันฟ้าสวย แดดใส เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง
ทางเส้นเดิมที่ต้องสัญจรในวันที่ฝนโปรยปราย ก็เป็นประสบการณ์อีกอย่างหนึ่ง
จุดหมายอาจไม่ได้มอบประสบการณ์ที่ล้ำค่ากับเราได้มากเท่ากับ "ทาง"
หากกำลังอยู่บน"ทาง" ภายใต้ผืนฟ้าระยับแดด จะรอช้าอยู่ทำไม มองออกไปสิ...เห็นไหมภูเขาลูกเดิมที่เรารู้จักกำลังทักทายปุยเมฆก้อนแล้วก้อนเล่าที่ลอยผ่าน
จำได้หรือเปล่าว่าต้นหางนกยูงริมทางที่เคยผ่านตาเมื่อปีที่แล้ว มันสูงใหญ่ขึ้นแค่ไหน แล้วมีอะไรผลิใหม่ขึ้นมาบ้าง
นกฝูงล่าสุดที่บินผ่านกระจกรถมาอาจเป็นนกพันธุ์หายากที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต สารพัดที่รอให้เราหันซ้ายแลขวาไปมอง
และหากต้องอยู่บน "ทาง" กรำสายฝน ทำไมไม่เงยขึ้นไปยังเบื้องบนแล้วบอกขอบคุณ...ที่ทำให้ "เอลนินโญ่" ของวันนี้ได้รับการบรรเทาให้เราได้เย็นสบาย
และได้หยุดพักกับความวุ่นวายชั่วขณะหนึ่ง
หนึ่งวินาทีของความสุขมักจะสั้น
ถ้าเป็นงั้น...ทำไมเราไม่ทำวินาทีสั้นๆ นั้น ให้เกิดขึ้นบ่อยๆ
แล้วรู้ไหมว่า...สำหรับคนเขียนแล้ว ฝนในการเดินทางครั้งนี้ กับหนังสือหนึ่งเล่ม
ทำให้วินาทีสั้นๆ นั้นดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในสเปซเล็กๆ ของคุณติสนี่เอง
ทำชีวิตให้โรแมนติก มันยากตรงไหนกัน


17:07น. เรากำลังย่างเข้าเขตเมืองขอนแก่น ถามว่าสังเกตได้จากที่ไหน ในกรณีที่ดูป้ายบอกทางไม่ทันก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเมื่อใดที่คุณขับกรายมาถึงแดนม่ำ...ก็แปลว่า คุณอยู่ในเขตจังหวัดขอนแก่นเรียบร้อย แล้ว
แล้ว ม่ำ...คือ...
coming up next>>>